ผู้เขียน หัวข้อ: motor show 2025: MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV แฮทช์แบ็คไฮบริดคันไหน  (อ่าน 26 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
  • ลงประกาศฟรี
    • ดูรายละเอียด
motor show 2025: MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV แฮทช์แบ็คไฮบริดคันไหน
« เมื่อ: วันที่ 15 พฤศจิกายน 2024, 00:03:04 น. »
motor show 2025: MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV แฮทช์แบ็คไฮบริดคันไหนดี?

เราทราบกันแล้วว่า All New MG3 Hybrid+ เปิดตัวและเผยราคาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว คู่แข่งโดยตรงของรถคันนี้คงหนีไม่พ้น Honda City Hatchback e:HEV ซึ่งเป็นรถท้ายตัดขุมพลังไฮบริดเหมือนกัน ก่อน งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2024 ปลายปีนี้จะมาถึง เรามาดูกันก่อนว่าทั้ง 2 รุ่น นั้นมีจุดดีจุดด้อยต่างกันอย่างไร

 ด้วยราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 559,900 - 599,900 บาท ทำให้ MG3 Hybrid+ ได้เปรียบ City Hatchback e:HEV ซึ่งมีราคา 729,000 - 799,000 บาทอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคันนี้มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันไป มาลองเทียบกันดูว่าคันไหนจะเหมาะคุณมากกว่ากัน

 ราคา All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HE

 ราคา All New MG3 Hybrid+
All New MG3 Hybrid+ รุ่น D ราคา 559,900 บาท
All New MG3 Hybrid+ รุ่น X ราคา 599,900 บาท
เป็นราคาพิเศษเฉพาะ 1,000 คันแรกเท่านั้น จากนั้นจะปรับขึ้นเป็น 579,900 - 619,900 บาท

 ราคา Honda City Hatchback e:HEV
Honda City Hatchback e:HEV SV ราคา 729,000 บาท
Honda City Hatchback e:HEV RS ราคา 799,000 บาท

 MG3 Hybrid+
มิติตัวถัง All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV

 มิติตัวถัง   All New MG3 Hybrid+   Honda City Hatchback e:HEV
ความยาว (มม.)   4,113   4,369
ความกว้าง (มม.)   1,797   1,748
ความสูง (มม.)   1,502   1,501
ระยะฐานล้อ (มม.)   2,570   2,589
Honda City Hatchback e:HEV

 ดีไซน์ภายนอกของ MG3 Hybrid+ ผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว ดีไซน์ไฟหน้าแบบใหม่ Hunter Eye Headlamp หรือ ดวงตานักล่า ที่ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมนตามแบบฉบับของเอ็มจี

 ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ (ในรุ่น X) พร้อม DRL, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (ในรุ่น X) และใบปัดน้ำฝนด้านหลัง และยังมาพร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วทุกรุ่นย่อย

 สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง (Scarlet Red) สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) และสีเทา (Metal Ash Grey) จับคู่กับเบาะสีดำ ในรุ่น D ทั้งยังมีสีให้เลือกเพิ่มเติม คือ สีฟ้า (ST. Moritz Blue) และ สีเหลือง (Pastel Yellow) ในรุ่น X

 ห้องโดยสารของรถคันนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ มาในสีทูโทนขาวสลับดำ (รุ่น X) และสีดำล้วน (รุ่น D) เน้นความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอย เน้นพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room)

 เมื่อเข้าห้องโดยสารเราจะเห็นฟังก์ชั่นการใช้งานของรถ เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง, มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอกลางรองรับระบบสัมผัส 10.25 นิ้ว และรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, เบาะนั่งคู่หน้าปรับมือ, เบรคมือไฟฟ้า EPB พร้อม AVH (Auto Vehicle Hold) รวมถึงระบบปรับอากาศแบบดิจิทัลพร้อมกรองอากาศ PM 2.5

 นอกจากนี้ MG3 Hybrid+ ยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start รวมถึงช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด

 MG3 Hybrid+ มีเบาะหลังที่พับได้แบบ 60:40 ความจุห้องสัมภาระอยู่ที่ 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร

 สำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ปีนี้คือโฉมไมเนอร์เชนจ์แล้ว โดยยังคงหน้าตาคล้ายโฉมก่อน และปรับออพชั่นให้น่าใช้มากยิ่งขึ้นทั้งภายนอกภายใน รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อย SV เข้ามาสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

 ออพชั่นภายนอกที่โดดเด่น ได้แก่

 ไฟหน้า LED (ในรุ่น RS) และโปรเจคเตอร์ (รุ่น SV) ไฟ DRL แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ไฟตัดหมอก LED (รุ่น RS)
ไฟท้าย LED
กระจังหน้าลายรังผึ้งตกแต่งด้วยสีดำเงา (รุ่น RS) และโครเมียม (รุ่น SV)
ระบบปัดน้ำฝนหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (รุ่น RS)
ล้ออัลลอย 16 นิ้วสีดำแบบสปอร์ต (RS) และสีทูโทน (SV)

 สีภายนอกมีให้เลือก 6 สี ได้แก่
สีขาวมุก Platinum White Pearl (เพิ่ม 10,000 บาท)
สีเทา Sonic Grey Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
สีเทา Meteoroid Grey Metallic
สีดำมุก Crystal Black Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
สีแดง Ignite Red Metallic
สีน้ำเงิน Brilliant Sporty Blue

 สำหรับดีไซน์ภายในของ City Hatchback e:HEV ไม่มีอะไรที่หวือหวานัก มีการจัดเรียงฟังก์ชันต่าง ๆ เหมือนรถยนต์ทั่วไป เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย, เบาะหนังผสมหนังสังเคราะห์, มาตรวัดพร้อมจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว, จอกลางขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

 ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เบรคมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold, ช่องแอร์ผู้โดยสารด้านหลัง, ช่องเชื่อมต่อและชาร์จ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง หลัง 2 ตำแหน่ง, ลำโพง 8 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV), เชื่อมต่อ Honda CONNECT (RS)

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคู่แข่งคันอื่น ๆ คือเบาะหลังแบบ Ultra Seat ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้งาน นอกจากการพับ 60:40 ที่เรียบไปกับพื้นห้องสัมภาระแล้ว เบาะรองนั่งยังสามารถพับยกขึ้นเพื่อบรรทุกของที่มีความสูงได้ หรือปรับเบาะหน้าเอนเชื่อมต่อกับเบาะหลังเพื่อนอนยาวได้

เครื่องยนต์ MG3 Hybrid+

 MG3 Hybrid+ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว DVVT กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) แรงบิด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร

 พละกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบอยู่ที่ 194 แรงม้า(PS) (143 kW) แรงบิด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion (NMC) ความจุ 1.83 kWh จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-AT 3 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า

 เครื่องยนต์ Honda City Hatchback e:HEV

 เครื่องยนต์รหัส LEB8 เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมหัวฉีด PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า(PS) แรงบิด 127 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า(PS) แรงบิด 253 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh จับคู่ระบบส่งกำลังแบบ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

 ขุมพลังของ MG และ Honda ให้ทั้งอัตราเร่งที่ดี แถมให้ความประหยัดในระดับ 20+ กิโลเมตร/ลิตร ได้สบาย ๆ แต่ดูเหมือนว่าระบบไฮบริดของ MG จะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะมาพร้อมเกียร์ 3 สปีดซึ่งจะให้ความเร็วปลายไหลไปได้ดีกว่า

 ความปลอดภัย All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV

 ความปลอดภัย MG3 Hybrid+

 MG3 Hybrid+ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่หรือ ADAS พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)

 ระบบความปลอดภัยพื้นฐานมีดังนี้
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
ระบบ ABS/EBD/EBA/TCS
ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
ส่วนระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) จะมีในรุ่น X ซึ่งเป็นรุ่นท็อปเท่านั้น ดังนี้
กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
ระบบความปลอดภัย Honda City Hatchback e:HEV

 ความปลอดภัย Honda City Hatchback e:HEV

 Honda City Hatchback e:HEV มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานดังนี้
ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV)
ระบบ ABS/EBD/VSA
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็ว Auto Door Lock by Speed
ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)   
ระบบสัญญาณกันขโมย
ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
กล้องมองหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

 ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Honda SENSING ได้แก่
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam
ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch (RS)
ระบบเตือน และ ช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDM
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS
ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC with LSF Low Speed Following
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN

 เรียกได้ว่า ทั้ง MG และ Honda มีระบบความปลอดภัยที่สูสีกันเลย โดยทั้งสองคันไม่มีระบบเตือนจุดบอดด้านข้างหรือ Blind Spot Monitoring แต่อย่างใด โดย MG มีเพียงกล้องรอบคัน 360 องศา (ในรุ่น X) และ Honda มีเพียง Honda LaneWatch (ในรุ่น RS) เพื่อช่วยในการสอดส่องจุดบอดเท่านั้น

 สรุป MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
สรุป: เลือก MG ที่คุ้มค่ากว่า หรือเพิ่มเงินไป Honda เพื่อความสบายใจ

 สำหรับ All New MG3 Hybrid+ ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ด้วยความสามารถที่มีรอบด้าน นอกจากออพชั่นและราคาที่คุ้มค่าเหนือรถญี่ปุ่นแล้ว ในครั้งนี้ MG3 Hybrid+ ปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ไฮบริดให้ต่อกรกับค่ายญี่ปุ่นได้อย่างสูสีกินกันไม่ลง ทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

 MG3 Hybrid+ อาจเสียเปรียบ City Hatchback e:HEV ตรงชื่อชั้นที่ยังไม่ยาวนานพอจนคนส่วนใหญ่ไว้ใจ บวกกับชื่อเสียงบริการหลังการขายที่หลายคนยังตั้งคำถาม ทำให้แบรนด์เจ้าตลาดอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

 แต่ไม่ใช่ว่า Honda จะมีดีแค่ชื่อเสียงของแบรนด์ นอกจากสมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัยที่ครบครันแล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องประโยชน์ใช้สอยที่มีอย่าง Ultra Seat ซึ่งใครที่จำเป็นต้องใช้จะต้องชื่นชอบแน่นอน

 จึงสรุปได้ว่า หากใครที่ต้องการความสดใหม่ สมรรถนะ และความคุ้มค่า คงต้องเลือก MG3 Hybrid+ ส่วนใครยังต้องการความสบายใจ ประโยชน์ใช้สอย และมีออพชั่นครบครันไม่แพ้กันก็เลือก Honda City Hatchback e:HEV ได้เลย

 สามารถไปชมคันจริงรถทั้ง 2 รุ่นนี้ได้ที่งาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ได้เลยครับ